Thursday 20 November 2014

defence mechanism

ความยากจนค่นแค้นลำบากเป็นเรื่องน่าเห็นใจเป็นอย่างยิ่ง และยิ่งไม่ได้รับความเป็นธรรมในเรื่องแรงงาน ยิ่งแย่ไปกันใหญ่ ทำให้ต้องมีหน่วยเฉพาะกิจมาปราบการค้ามนุษย์ ทั้งค้ากันในทุกอายุ แม้กระทั้งไข่ ยังค้า ไข่คนประมาณนี้  ยังไม่ทันได้เกิดมีชีพเลย เพราะพ่อแม่บางท่านลงทุนส่งลูกเรียนเสียตังค์มาก คิดว่าคุ้มค่า จะได้มีรายได้สูง มีเครือข่ายอาชีพที่ดี ปรากฏว่าไม่ให้การศึกษาครอบครัวให้พอและบางทีให้แล้ว อยากได้เงิน ถึงขนาดขายลูกหลานกินข้ามประเทศก็มี ไปกันใหญ่แล้ว ยิ่งเด็กเยาวชนมีความสามารถสูง โดนพวกนายทุนนายงานหากินบนหลังเด็กเยาวชนอีกต่อด้วย และกฏหมายคุ้มครองเด็กเยาวชน ดูแลไม่ถึง เด็กที่มีความสามารถบางกลุ่ม ถูกบังคับให้ค้าแรงงานทาส โดนนายทุนโยนเงินใส่พ่อแม่ที่ลำบาก จำต้องให้ลูกไปทำงานในที่ไม่เหมาะสมทั้งในเรื่องสิ่ง แวดล้อม และสุขภาพ ทั้งที่อายุน้อยหรือถูกบังคับโดนอ้างความกตัญณูรู้คุณ  วิธีการแก้ไขคือต้องมีรายได้เพิ่มโดยสุจริตในภาพรวมเชิงนโยบายและหลักสากล ที่ไม่ใช้วิธีที่กำจัดผู้ที่สามารถหารายได้มากออกไปอยู่ในประเทศที่จ่ายค่าแรงแพงกว่า เพราะจ่ายค่าแรงดีในประเทศ จ่ายได้แต่พวกพ้องตนเอง ในประเทศบางประเทศ การใช้แรงงานที่ราคาถูกกว่าของนายงานจำต้องใช้วิธีสร้างกำลังใจให้ผู้ยากไร้แปลกๆ เช่นการทำให้ผู้ที่มีรายได้สูงกว่าโดยสุจริตดูด้อยค่าไม่น่ารัก เพื่อทำให้ความคับข้องของความแร้นแค้นของผู้มีน้อยกว่าจะได้บรรเทาเบาบางไป อันเป็นเทคนิคของผู้บริหารระดับล่างของประเทศพัฒนาน้อย บ้างถึงขนาด นายงาน ต้องรวมหัวกันกำจัด ผู้ที่หากินสุจริต แต่มีมากกว่า ด่าถ้อยคำหยาบคายให้ค่าแรงระดับล่างได้สำเนียกว่าการดูหมิ่นเหยียดหยามเป็นเรื่องที่ต้องทำเลยทีเดียว เพราะใครจะเสียหายอย่างไร สหภาพวิชาชีพหรือรัฐกลไกสวัสดิการใดก็ไม่สามารถพัฒนาตนเองให้มีมากกว่า หรือเท่าเทียมได้ เรื่องการมีรายได้โดยสุจริตไม่มีสหภาพวิชาชีพดูแล น่าเห็นใจมาก การบริหารจัดการก็ไม่สามารถออกกฏระเบียบให้มีโอกาสได้รับรายได้ที่มากกว่า อะไรแบบนี้ พอได้บรรเทา ความคับข้องใจ เพราะนายงานในระดับบน ไม่กล้าอยู่แล้ว กลัวไม่มีคนทำงานราคาประหยัดให้ หรืองานที่ต้องเสี่ยงภัยทั้งหลาย เพราะคนที่สามารถต้องมีคนมารีครูตตลอดเวลาอยู่แล้ว ไปอยู่ที่ไหนก็สามารถเหมือนเดิม ส่วนเรื่องความสงบเรียบร้อยและเพื่อศีลธรรมอันดีอะไรพวกนี้ แปลของต่างประเทศมาไว้ในกฏระเบียบเฉยๆ  จะได้มีกำลังใจทำงาน ที่โดนนายงาน ตอบแทนไม่คุ้มค่า แต่จำเป็นต้องทำ  เกิดปัญหาน่ารังเกียจในบางประเทศ คือ ไม่ให้การศึกษาแก่พลเมือง ที่เท่าเทียม การศึกษาเข้าถึงได้ ต้องกู้มาเรียน ไม่สามารถเข้าถึงการศึกษาของฟรีหรือฟรีบางส่วนได้ทุกคน ได้ของฟรีมากก็โลภอยากได้แต่ของฟรีไปเรื่อยๆ เอาไว้ก่อน ฉวยไว้ก่อน นายทำเฉย เพราะมันเงินของประชาชนประเทศพัฒนาน้อย ตรวจสอบก็ไม่รู้หรอก เรื่องอะไรจะบอก มีการสื่อสารใดต้องไม่ให้ฝ่ายตรวจสอบกำกับรู้ ทั้งที่เข้าถึงไปหมดแล้วในสื่อสมัยใหม่นี้ ทั้งด้านความตลาดและความมั่นคง ไม่เห็นตอบแทนกลับมาบ้าง ทำตลาดได้กำไรเยอะ จนเสียนิสัย คนใช้เงินภาษีของบางประเทศ  คนอื่นไม่มีสิทธิได้ของฟรี นายก็ทำคุณสมบัติ ให้ของฟรีเพียงบางคนบางกลุ่มเท่านั้น ให้เข้าเงื่อนไข ที่เตรียมการไว้ พวกนี้นิสัยเสีย ให้อุ้มกันอยู่นั่น คนค้าขายคงเบื่อ เลยชอบเลี่ยงภาษีในประเทศที่โกงกินเงิน ของราษฎร กันมาก ไม่ทำมาหากินโดยสุจริต ขอแบ่งจาก งานจัดซื้อจ้างอยู่นั่นแล้ว บางอาชีพ ทำงานในประเทส ปีละหกเดือน อีกหกเดือนไปกินเงินหรือทำงานนอกประเทศก็มี ได้กินเบี้ยเลี่ยงแพงๆ หน้าดิมๆ ซ้ำๆ แทนที่คนในองคกรอีเป็นหมื่นจะได้ไปฝึกหัดบ้าง ให้ช่วยจ่ายของฟรีบางส่วนก็ยังดี นี่ หาเรื่องให้เป็นเสียดอกเบี้ยส่วนตัวอีก ไปกันใหญ่แล้ว  ทำมาหากินโดยสุจริคไม่ได้ ต้องโกงกินภาษีของบางประเทศ เกิดการทุจริตคอรัปชั่น เพราะต้องการรักษาหน้าตาในเรื่องเครดิตส่วนตัว เอาเงินของประชาชนมาจ่ายแทนเครดิตส่วนตัว เอาเงินของประชาชนมาหมุนเข้ากระเป๋าในสารพัดโครงการ ไม่ต้องเสียเวลาไปทำเรื่องขอเงินหมุนกับภาคเอกชนให้เสียเวลา เพราะรายได้ต่ำ เอาเงินประชาชนมาหมุนดีกว่า สำหรับบางประเทศ ที่พวกมีการศึกษาดีจากเงินประชาชนในประเทศที่พัฒนามากหน่อยนั้นๆ พบเห็นว่ามีความเป็นธรรม ในการใช้เงิน ภาคประชาชน เหมือนใช้เงินส่วนตัว บางประเทศการจัดซื้อจ้างไม่มีการจับเงินสด ใช้ผ่านบัญชี รวมทั้งเอกสารการให้และรับเงินผ่านระบบอิเลกโทรนิคทั้งหมด ไม่มีการเอาเงินสดไปหมุนในโครงการอื่นหรือเรื่องส่วนตัว หรือสำรองจ่ายในโครงการอื่นๆ ที่ไม่ใช่โครงการทีเบิกมา เงินใช้จ่ายกลางมารวมโต็ะที่เดียว ร้อยแปด ใช้กลไกลดความคับข้องใจแบบไม่มีมากก็ช่าง พวกองุ่นเปรี้ยว เรื่องวางแผนทางการเงินเรื่องการลงทุนการค้าขาย ไม่ทันใจ สู้คอรัปชั่นดีกว่า เร็วดี เป็นงั้นสำำหรับบางประเทศ





















กลวิธานในการปรับตัวมีลักษณะต่าง ๆ ดังต่อไปนี้



.  อ้างเหตุผลเข้าข้างตนเอง (Rationalization)  เป็นการอ้างเหตุผลที่คิดว่าคนอื่นย่อมรับ เพื่อรักษาศักดิ์ศรีของตนเอง หรือเพื่อให้ตัวเขาสบายใจขึ้น อาจแสดงออกในรูปขององุ่นเปรี้ยวหรือมะนาวหวาน
องุ่นเปรี้ยว  เป็นวิธีการที่ทำให้ตนเองหรือคนอื่นเข้าใจว่าสิ่งที่ตนอยากได้ แล้วไม่ได้นั้น ไม่ดี เช่น อยากมีรถเก๋งขี่ แต่ไม่มีก็ปลอบใจตนเองว่าไม่มีดีแล้ว มีแล้วรอจ่ายเพิ่ม หรือเสียค่าดูแลรักษามากขึ้น
มะนาวหวาน  ตรงกันข้ามกับองุ่นเปรี้ยว คือการที่บุคคลพยายาามทำให้ผู้อื่นเข้าใจว่าสิ่งที่เราได้นั้นดีเลิศอยู่แล้ว ทั้งๆ ที่ความจริงตัวอาจจะไม่ต้องการมาก่อน เช่น สอบเข้าครูได้ ก็บอกใครๆ ว่าครูนี้สอบเข้ายากนะ เป็นแล้วรู้จักคนมาก สังคมยกย่องด้วย เป็นต้น
.  การปรับตัวแบบหาสิ่งอื่นมาทดแทน (Substitution)  เป็นการหาสิ่งอื่นมาชดเชยสิ่งที่ตัวเองขาด   ซึ่งมี ๒ ลักษณะได้แก่
      ๒.๑  การชดเชย  (Compensation)  เมื่อขาดสิ่งใดสิ่งหนึ่งก็ไปหาสิ่งอื่นมาชดเชยเป็นการเปลี่ยนความต้องการหรือเป้าหมายใหม่ เช่น เด็กที่ไม่สวย อาจขยันเรียนเป็นเด็กดีของโรงเรียน เด็กที่เรียนอ่อนอาจจะหันไปฝึกซ้อมด้านกีฬา หรือด้านศิลป์ หรือคนร่างเตี้ยอยากสูง มีวิธีการชดเชยโดยวางท่าใหญ่หรือเสียงดังฟังชัด หรือพูดจาโอ้อวด
      ๒.๒  การทดแทน (Displacement)  วิธีนี้ไม่เปลี่ยนเป้าหมายแต่พยายามหาสิ่งทดแทนอย่างอื่นที่มีลักษณะใกล้เคียงกับความต้องการเดิมและสิ่งใหม่นี้ตัวเองพอจะหาทางตอบสนองได้ เช่น
คนก้าวร้าว  อยากทำร้ายตบตีชกต่อยคนอื่น แต่สังคมไม่ยอมรับก็พยายามหาสิ่งทดแทนที่สังคมยอมรับ เช่น เป็นนักมวย จัดชกมวย เป็นทหาร ตำรวจ   เป็นต้น   หรือคนอกหัก ก็หาทางระบายด้วยการเขียนนิยายรักรันทดใจ เป็นต้น
.  การปรับตัวแบบโทษผู้อื่นหรือการโยนบาป (Projection)   เป็นการอ้างความผิดของคนอื่นขึ้นมา ลบความผิดของตน เช่น ฉันไม่ได้ ๒ ขั้น เพราะถูกเจ้านายกลั่นแกล้ง หรือเราลอกข้อเดียว แต่คนอื่นลอกการบ้านทุกข้อเลย เป็นต้น
.  การนับตนเป็นพวกเดียวกับปัญหา (Identification)   เป็นทำนองว่าถ้าเอาชนะใครไม่ได้ก็ยอมเป็นพวกเขาแต่โดยดี เช่น
     ๔.๑  เห็นเขาเก่งกว่าเรา มีความสามารถมากกว่าเราหรือดีกว่าเรา เราอยากเป็นอย่างนั้นบ้าง แต่เป็นไปไม่ได้ จึงใช้วิธีทำตนเป็นพวกเดียวกับเขา  เช่น  การเอาอย่างบุคคลที่เด่นๆ ในสังคม ในเรื่องกิริยาท่าทาง การแต่งตัวหรือรสนิยม เป็นต้น
                 .๒  การนับตนเป็นพวกเดียวกับใคร เพื่อให้ได้มาซึ่งความรัก เช่น เด็กอยากให้พ่อแม่รักก็ทำตามอย่างพ่อแม่ ทำตามที่พ่อแม่สอน เป็นต้น
                 .๓  การนับตนเป็นพวกเดียวกับผู้ที่เราเห็นว่าถูกกดขี่ข่มเหง เช่น ประกาศตนเป็นพวกเดียวกับ ชนหมู่น้อยที่ไม่ได้รับความเป็นธรรม หรือเข้าข้างผู้แพ้ เพราะตนมีความรู้สึกท้าทายอำนาจอยู่แล้ว
                 .๔  การนับตนเองเป็นพวกเดียวกับใครที่เหมือนเรา ซึ่งมีอยู่ทั่วไป เช่น ชายหญิงที่มีฐานะเสมอกัน มีความสนใจและรู้รสนิยมคล้ายกัน ได้มาพบกันเข้าก็รักกัน แต่งงานกัน เป็นต้น
(ข้อ ๔.๔ นี้อาจจะไม่เกี่ยวข้องกับความวิตกกังวล)
.  ความก้าวร้าว (Aggression)  เป็นการลดความคับข้องใจโดยให้ผู้อื่นได้รับความกระทบกระเทือน ซึ่งส่วนใหญ่จะเนื่องมาจากความโกรธ เช่น
                 .๑  การก้าวร้าวโดยตรง (Direct Aggression) เป็นการแสดงความก้าวร้าวต่อสิ่งของหรือบุคคลที่ทำให้โกรธหรือคับข้องใจ เช่น การเตะต่อยหรือใช้วาจาพูดให้สะเทือนใจ หรือการฟัน แทง หรือยิงกันจนบาดเจ็บหรือตาย
                 .๒  การก้าวร้าวทางอ้อม (Displaced Aggression) เช่น โกรธครูแล้วตวาดเพื่อน    ไม่พอใจแฟนก็ทุบข้าวของแตกหักเสียหาย โกรธเพื่อนบ้านแล้วลักของ หรือทะเลาะกันแล้วจุดไฟเผาบ้านเป็นต้น
.  การเปลี่ยนหน้ามือเป็นหลังมือ (Reaction Formation) เป็นการปรับตัวแบบหน้าไหว้หลังหลอกโดยที่เจ้าตัวไม่รู้สึก เช่น แม่ที่ปกป้องลูกขนาดหนัก จนลูกช่วยตัวเองไม่เป็นตลอดชีวิต  หารู้ไม่ว่าส่วนลึกนั้นชิงชังลูกอย่างเหลือเกิน การตามใจลูกเป็นการแสดงหน้าฉากเท่านั้น
        ๗.  การเก็บกด (Repression)  เป็นการปรับตัวโดยการทำเป็นลืม ทำไม่สนใจ ไม่คิด ไม่กังวล พยายามปัดออกไปจากจิตรู้สำนึก โดยเฉพาะเหตุการณ์ที่ทำให้เราเดือดร้อน มีความทุกข์ ความละอายหรือความเจ็บปวดหรือเจ็บแน่นแสนสาหัส นานๆ เข้าอาจจะลืมได้  วิธีการแบบนี้บุคคลไม่ได้ระบายความวิตกกังวลเลย ความวิตกกังวลหรือความไม่สบายใจจึงมีอยู่ตลอดเวลา นานๆ เข้าจะทำให้เป็นคนเจ้าทุกข์ เจ้าคิด เจ้าแค้น ไม่มีเวลาสำหรับความรื่นรมย์ใด ๆ ในชีวิตเลย
.  การปรับตัวแบบถอยกลับ (Regression) เป็นวิธีการที่บุคคลถอยกลับไปใช้ วิธีการแบบเด็กๆ อีก เพื่อเรียกร้องความสนใจ เช่น การดูดนิ้ว (ในเด็กอายุเกิน ๒ ขวบหรือการปัสสาวะรดที่นอน (ในเด็กอายุเกิน ๔ ๕ ขวบ)หรือผู้ใหญ่ที่ทำตนเป็นวัยรุ่น เป็นต้น
.  การติดชะงัก (Fixation)  ปกติคนเราย่อมมีการเปลี่ยนแปลงบุคลิกภาพตามขั้นตอนวัยแตกต่างกันออกไป และคนเราย่อมจะก้าวจากขั้นหนึ่งไปสู่อีกขั้นหนึ่งเรื่อยๆ  ไปจนกว่าจะบรรลุความเป็นผู้ใหญ่เต็มตัว     แต่บางคนอายุมากแล้ว แต่ยังติดชะงักอยู่ในวัยเด็กอยู่นั่นเอง เป็นเพราะว่าเขาเกิดความกลัวว่าขั้นต่อไปจะเต็มไปด้วยความลำบากยากแค้น พวกนี้จึงเป็นพวกเลี้ยงไม่รู้จักโต หรือพวกที่เจ้าระเบียบแบบกระดิกตัวไม่ได้ หรือพวกที่ยึดมั่นอยู่กับสิ่งเดียวตลอดชาติ ก็เป็นพวกติดชะงัก เช่นเดียวกัน
๑๐.  การสร้างจุดเด่นให้แก่ตนเอง (Geocentricism) เกิดแก่บุคคลที่เรียกร้องความสนใจจากผู้อื่น  โดยการคุยโอ้อวดความมั่งมี  คุยอวดความเก่งกล้าสามารถ   หรือแต่งตัวผิดแปลกไปจากคนอื่นหรือพูดจาไม่เหมือนคนอื่น เป็นต้น
๑๑.  การปรับตัวแบบต่อต้านหรือปฏิเสธตลอดเวลา (Negativism) เป็นการเรียกร้องความสนใจ และเป็นการแก้แค้นวิธีหนึ่ง เช่น การชอบทำอะไรในสิ่งที่คนอื่นไม่อยากให้ทำ หรือเขาบอกไม่ให้ทำเราจะทำหรือเราจะทำแต่พอเขาบอกให้ทำ กลับไม่ทำเลย
๑๒.  การปรับตัวแบบเพ้อฝันหรือฝันกลางวัน (Fantasy or Day dreaming)  เป็นการลดความคับข้องใจโดยหนีไปสร้างความสุขโดยการฝันเฟื่อง หรือเหม่อลอยชั่วขณะ ซึ่งจะทำให้เกิดความสุขชั่วครั้งชั่วคราว
๑๓.  การปรับตัวแบบหลบหนี (Withdrawal)  เป็นการหลบเลี่ยงการเผชิญหน้ากับปัญหาหรือคนอื่นๆ ชั่วขณะ อาจจะเก็บตัวหรืออาจจะเจ็บป่วยทางร่างกายโดยหาสาเหตุทางกายไม่พบก็ได้ หรืออาจจะหันเขาหาสุรา กัญชาหรือยาเสพติดประเภทต่างๆ ได้




http://www.slideshare.net/baankrumod/asean-3311748


https://sites.google.com/site/educationalpsychology2555/bth-thi-3-khwam-taek-tang-taela-bukhkhl/3-3-kl-withan-ni-kar-prab-ta